นักข่าวถาม จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ กับ ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น ว่ามีเคล็ดลับอะไร ถึงทำให้พวกเขาเข้าขารู้ใจจูงมือกันสลุตตาข่ายให้เชลซีอย่างเมามัน ในช่วงต้นยุคมิลเลนเนียม
"เพราะเราสองคนมักจะพูดภาษาอังกฤษ สลับกับดัตช์ ตลอดเวลา พวกกองหลังเลยไม่เข้าใจที่ผมสองคนสื่อสารกันล่ะมั้ง"
________________________________
เรื่องราวของคู่หูจอมซัลโวจาก เชลซี ที่เปรียบดั่ง "น้ำกับไฟ" คู่นี้ เริ่มต้นจากการนำเข้ามาของ จานลูก้า วิอัลลี่ เมื่อปี 2000
"วิอัลลี่ ติดต่อผมมาที่ โบลตัน ในช่วงซัมเมอร์" กุ๊ดยอห์นเซ่น เริ่มเล่าก่อน
"เขาไม่รู้ตัวหรอกว่า เขานั่นแหล่ะที่เป็นไอดอลของผมสมัยเด็ก, ผมบอกพ่อของผมให้แลกเสื้อกับเขา ตอนพ่อผมเล่นให้ อันเดอร์เลทช์ ในนัดที่เจอกับ ซามพ์โดเรีย ซึ่งตอนนั้น วิอัลลี่ เป็นกัปตันทีมอยู่ และเขาก็โด่งดังมาก"
"ความจริง ลิเวอร์พูล ติดต่อผมมาก่อนหน้านี้แล้วนะ แต่พอเป็น วิอัลลี่ ที่สนใจในตัวผมเหมือนกัน ผมเลยตัดสินใจย้ายมา เชลซี แบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย"
ขณะที่ ฮัสเซลเบงค์ เอง ตัวเขาถูกชักจูงเป็นคำรบ 2 หลังจาก เชลซี เคยทาบทามเขามาก่อนแล้ว ตอนกำลังจะย้ายออกจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ดีลนั้นก็ไม่เกิดขึ้นจริง เพราะยูงทองไม่อยากขายดาวยิงฝีเท้าดีให้กับทีมร่วมลีก
"วิอัลลี่ โทรมาหาผมตอนผมอยู่บนรถบัสของ แอตเลติโก มาดริด, วันนั้น ผมกำลังจะลงเตะนัดชิง โกปา เดอ เรย์ และเขาก็โทรมาบอกว่า ขอเวลาแค่ 5 นาทีพอ สำหรับการบรรยายถึงโปรเจคท์ของเขาในฤดูกาลหน้า"
"ผมก็เหมือนกับ กุ๊ด นั่นแหล่ะ! วิอัลลี่ เป็นกองหน้าที่เก่งมาก่อน ดังนั้นคำโน้มน้าวของเขา จึงทำให้ผมคล้อยตามได้ไม่ยาก"
แล้วทั้งคู่ ก็ตกร่องปล่องชิ้น ย้ายมาเป็นสิงโตตัวใหม่ที่ ลอนดอน ในเวลาต่อมา
________________________________
ทว่า ตลกร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อ วิอัลลี่ ถูกไล่ออกหลังจากเพิ่งร่วมงานกันได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น
เคลาดิโอ รานิเอรี่ คือนายใหม่ของพวกเขา และกลายเป็นว่าชายผมสีดอกเลาคนนี้นี่แหล่ะ ที่ช่วยปั้นทั้งคู่ให้เป็นพาร์ทเนอร์ที่ยอดเยี่ยมได้ในเวลาต่อมาหน้าตาเฉย
แถมยังมี จานฟรังโก้ โซล่า คอยจ่ายบอลสวย ๆ ให้พวกเขาอีกต่างหาก
"จานฟรังโก้ คือคนที่มีความสุขมากที่สุด หากเห็นคนอื่นทำประตูได้จากการแอสซิสต์ของเขา" ฮัสเซลเบงค์ พูด
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความสัมพันธ์ของ กุ๊ด กับ เบงค์ ก็จูนกันติดมากกว่า โซล่า, ทั้งคู่เคยระเบิดตาข่ายรวมกันได้ถึง 52 ประตู ในฤดูกาล 2001-02 จนทำให้ รานิเอรี่ ถึงกับออกปากชมว่าเขาทั้งคู่มีความเข้าขากันจนแทบไม่ต้องพูดอะไรมากมายเลย
"ผมกับ จิมมี่ ชอบออกไปเล่นไพ่ด้วยกันบ่อย ๆ และบางทีก็ไปกินข้าวด้วยกัน มันเลยน่าจะเป็นจุดนึงที่ทำให้เราสองคนสื่อสารกันได้เป็นอย่างดีในสนาม"
ก่อนที่จุดเปลี่ยนของคู่หูคู่นี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ โรมัน อบราโมวิช เดินทางมาถึง
กุ๊ดยอห์นเซ่น เล่าว่า "รานิเอรี่ เปิดอกคุยกับผมตรง ๆ และพูดให้ฟังว่าเจ้าของคนใหม่คนนี้ มีความต้องการที่จะเป็นแชมป์ในทุกรายการ รวมไปถึงเขาอาจต้องซื้อกองหน้าชื่อดังมาร่วมทีมอีก 2-3 คน"
"ผมยักไหล่แล้วบอกว่า -ไม่มีปัญหาเลยบอส ผมพร้อมจะสู้ต่อ ตราบใดที่สโมสรยังอยากให้ผมอยู่- ซึ่งผมพูดจริง ๆ และมั่นใจว่า จิมมี่ ก็คงคิดแบบเดียวกัน"
ขณะที่ ฮัสเซลเบงค์ เองก็ได้รับการพูดคุยไม่ต่างกับ กุ๊ดยอห์นเซ่น มากนัก
"รานิเอรี่ บอกกับผมว่าจะมีกองหน้ามาเพิ่ม และจะกระทบกับตำแหน่งของผมแน่นอน ผมเลยจ้องตาเขาแล้วบอกว่า -บอสจะซื้อใครมาก็ได้ ผมไม่สน แต่ผมจะยิงประตูให้ทีมได้หมือนเดิม แล้วผมก็จะมีที่ยืนเหมือนทุกที ผมโอเคมาก คุณไม่ต้องห่วง- ผมแอบเห็นรอยยิ้มของเขานะ เพราะผมว่าเขาก็รู้จักผมดี ว่าผมพูดจริงและทำแบบที่พูดได้แน่นอน"
เมื่อถึงเวลาแข่งจริง ปรากฏว่า เอร์นัน เครสโป กับ อาเดรียน มูตู ที่สโมสรลงทุนไปมหาศาล ไม่สามารถทำผลงานได้ดีเท่ากับ กุ๊ด และ เบงค์ เลยสักคนเดียว
กุ๊ดยอห์นเซ่น ยิงได้ 13, ส่วน ฮัสเซลเบงค์ ยิงไป 17 ประตู ขณะที่ เครสโป กับ มูตู ยิงได้เพียง 12 กับ 10 ประตูตามลำดับ เท่านั้น
ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นใช่มั้ยล่ะครับ เพราะถึงแม้จะมีสตาร์ดังเข้ามาใหม่ ก็ยังไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งตัวจริงของทั้งคู่ได้ แต่ใครจะไปคิด ว่าตอนจบของคู่หู กุ๊ด กับ เบงค์ จะเดินทางมาถึงทางแยก เอาในวันที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามารับไม้ต่อจาก รานิเอรี่ ตอนปี 2004
________________________________
มูรินโญ่ เลือกโทรหา กุ๊ดยอห์นเซ่น ในช่วงพักร้อน ขณะที่เขากำลังจะนั่งซดเบียร์กับเพื่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
"ผมเป็นโค้ชคนใหม่ของคุณ เราจะเป็นแชมป์ไปด้วยกันในฤดูกาลที่จะถึงนี้ ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่า คุณอยู่ในทีมของผม และผมต้องการแค่ให้คุณรีดฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตออกมา แล้วเราจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน"
สิ่งนั้นทำให้หัวใจของ กุ๊ดยอห์นเซ่น พองโต แต่กับ ฮัสเซลเบงค์ แล้ว ทุกอย่างมันตรงกันข้ามไปหมด
"มีคนโทรมาหาผมเหมือนกัน แต่เป็น ปีเตอร์ เคนยอน ไม่ใช่ โชเซ่ มูรินโญ่, แค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าอนาคตของผมที่ เชลซี มาถึงตอนจบ"
"ตั้งแต่วันแรกที่ มูรินโญ่ รับตำแหน่ง จนถึงวันที่ผมเก็บข้าวของย้ายออก ผมยังไม่เคยได้คุยกับเขาเลยสักคำเดียว"
ฮัสเซลเบงค์ ย้ายไปอยู่กับ โบโร่, ส่วน กุ๊ดยอห์นเซ่น ได้เล่นที่ เชลซี ต่อ แถมยังได้ลงสนามมากถึง 57 นัด ยิงได้ 16 ประตู อีกด้วย
ที่สำคัญกว่านั้น กุ๊ดยอห์นเซ่น สามารถคว้าเหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของตัวเขาเองไปประดับในตู้โชว์ที่บ้านได้อีก 2 เหรียญ ตลอดการเล่นให้กับ มูรินโญ่
"ผมดีใจและมีความสุขกับเหรียญรางวัลที่ เชลซี มากนะ แต่สิ่งเดียวที่ผมเสียใจก็คือ การที่ไม่ได้กอดคอฉลองแชมป์ลีกร่วมกับ จิมมี่ ทั้งที่เขาสมควรได้รับมันไม่ต่างกับผมเลยสักนิดเดียว"
แม้ทั้งคู่จะไม่ได้เหรียญแชมป์ลีกด้วยกัน
แต่ผมเชื่อว่า ตลอด 4 ฤดูกาล ที่ทั้งคู่ร่วมกอดคอต่อสู้กันมาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นั้น มันก็ยิ่งใหญ่และติดอยู่ในความทรงจำของแฟนสิงห์บลูส์ยุคบุกเบิก มาจนทุกวันนี้อย่างแน่นอน
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ เว็บบอล
|