เนื่องจาก ลิเวอร์พูล เพิ่งเซ็นสัญญากับ ไนกี้ บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬาระดับโลกเข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งรายใหม่ซึ่งก็เป็นสปอนเซอร์ให้กับ เอ็มบัปเป้ ด้วย ทำให้พวกเขากำลังจะได้เงินจากแบรนด์กีฬาสัญญชาติอเมริกัน ปีละ 100 ล้านปอนด์ (ราว 3,800 ล้านบาท) แถมเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพวกเขาก็มีผลประกอบการสูงเป็นสถิติที่ 533 ล้านปอนด์ (ราว 20,254 ล้านบาท) รวมถึงทำกำไรไป 42 ล้านปอนด์ (ราว 1,596 ล้านบาท) ด้วย
นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล มีเงินก้อนโตในการลงทุนเสริมทัพ กอปรกับกรณีที่เกิดขาย มาเน่ ให้กับ เรอัล มาดริด ว่ากันว่าค่าตัวคงประมาณ 150 ล้านปอนด์ (ราว 5,700 ล้านบาท) อาจจะทำให้เอฟเอสจี ยอมอนุมัติเรื่องการซื้อ เอ็มบัปเป้
จริงๆ แล้วโอกาสที่ หงส์แดง จะคว้าตัว หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 แทบเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ คล็อปป์ ยังยอมรับว่าปัญหาอยู่ที่เรื่องของเงินล้วนๆ ซึ่งนั่นเป็นกำแพงขวางกันในการเซ็นสัญญากับ เอ็มบัปเป้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ คล็อปป์ พูดไปเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ฉะนั้นเรื่องทุกอย่างอาจเปลี่ยนไป เพราะหาก ลิเวอร์พูล ได้เงินค่าตัวจาก มาเน่ ตามจำนวนที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ (หรืออาจจะมากกว่านั้น) งานนี้อาจจะทำให้กลุ่มทุนเลือดมะกันเจ้าของสโมสร เปลี่ยนท่าทีก็ได้
อย่างไรก็ตาม สำคัญกว่านั้น นั่นคือ บันไดขั้นที่ 3 ทุกๆ การซื้อขายจะต้องสัมพันธ์กับเทรนด์ในตลาดซื้อขายล่าสุดด้วย ประกอบกับโอกาสทางการกีฬา และการประเมินถึงความเป็นไปได้ที่จะได้ตัวนักเตะคนนั้นมาร่วมทีม
นี่คือจุดที่ ลิเวอร์พูล อาจจะเจอปัญหามากที่สุดในการทำให้การล่าตัว เอ็มบัปเป้ มาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ไม่ใช้นักเตะไม่สนใจ แต่ ปารีส แซงต์แชร์กแมง ต้นสังกัด ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่กดดันเพื่อจะขาย หัวหอกแห่งอนาคต ออกไป เพราะเขามีสัญญาอยู่กับ เปแอสเช จนถึงช่วงซัมเมอร์ 2022 และก่อนหน้านี้ ปารีส ก็จ่ายเงินไป 166 ล้านปอนด์ (ราว 6,308 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าตัวในการดึงมาจาก โมนาโก ไปแล้ว
เว็บคาสิโน เล่นง่ายได้เงินจริง
สมัครเลย เว็บคาสิโน น้องใหม่ซิงๆ
vxbet365 พร้อมให้บริการแล้ว
|