จบแล้วแชมป์เก่า ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล โดน แอต.มาดริด ลูบคม
ลิเวอร์พูล ยุติเส้นทางการป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เอาไว้เพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น เมื่อพวกเขาเปิดรังแอนฟิลด์ แพ้ แอตเลติโก มาดริด 2-3 หลัง "หงส์แดง" ชนะในเวลา 90 นาทีสกอร์ 1-0 ส่งผลให้สกอร์รวม 2 เกม "ตราหมี" ชนะ 2-4
หลังจากที่ชนะ 1-0 ในเวลา และเมื่อเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษเจ้าบ้านนำ 2-0 แน่นอนว่าแฟนบอลลิเวอร์พูล เริ่มฝันหวานถึงโอกาสในการเข้ารอบ แต่ทุกอย่างต้องพังพินาศจากความเฟอะฟะของ อาเดรียน และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งหายนะ ก่อนที่ทีมเยือนจะมาซัดอีกสองประตู
การโบกมือลาถ้วยใบโตยุโรป ถือว่าน่าเจ็บปวดอยู่แล้ว แต่การพ่ายแพ้ในบ้านตัวเอง เป็นอะไรที่ย่ำแย่สุดๆ เพราะ แอนฟิลด์ ได้ชื่อว่าเป็นนรกสำหรับทีมเยือน แต่เกมนี้ทุกอย่างก็เกือบจะเป็นแบบนั้น แต่เมื่อโชคชะตาขีดเส้นมาได้แค่นี้ หลังจากนี้ก็มีสมาธิกับเกมพรีเมียร์ลีก อย่างเดียวเท่านั้น
1. อาเดรียนจุดอ่อนของทีม
เชื่อว่าในช่วงต่อเวลาพิเศษการเห็น ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 2-0 แน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงเริ่มมองเห็นโอกาสที่ทีมจะยิงประตูเพิ่ม เพราะเหล่าแข้งแอตเลติโก มาดริด จำเป็นต้องออกจากรถบัส เพื่อนั่งรถสปอร์ตเปิดเกมบุกใส่เจ้าบ้าน ซึ่งนั่นหมายถึงการเปิดช่องว่างให้ "หงส์แดง" สวนกลับ
แต่แค่ 3 นาทีโลกทั้งใบที่แสนสดใสก็พลันกลายเป็นแตกเสี่ยงเมื่อ อาเดรียน โชว์ของเตะบอลไปให้ ชูเอา เฟลิกซ์ หน้าตาเฉยก่อนที่ แข้งโปรตุกีส ส่งบอล มาร์กอส ยอเรนเต้ ซัดเสียบมุมอย่างงดงาม นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล ต้องยิงอีก 2 ประตูเพื่อโอกาสเข้ารอบ
อย่างไรก็ตามด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้า ทำให้เจ้าบ้านโดนสวนกลับ และก็เป็น ยอเรนเต้ คนเดิมที่วันนี้คมเหลือเกินส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย แต่จะบอกว่าเป็นลูกยิงที่ยากลำบากไหม ไม่ยากแน่นอนแต่การที่นายทวารวันนี้ชื่อ อาเดรียน นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นตุง
สำหรับตอนนี้บอกเลยว่ารถกฐินกำลังเดินทางไปที่บ้าน อาเดรียน เรียบร้อยแล้ว เพราะหากจะมองแบบโลกสวย "หงส์แดง" ยิงทิ้งยิงขว้างในเกมนี้ แต่ลองคิดดูการขึ้นนำ 2-0 ทุกอย่างมันเข้าทางหมดแล้ว แต่การโชว์ของจากเท้าอวบๆ ของ นายทวารชาวสแปนิช ทำให้ทุกอย่างพังทลาย
2. เฮนเดอร์สัน เติมพลังแดนกลาง
หลังจากที่แดนกลางของ ลิเวอร์พูล อ่อนยวบไปหลายเกมเพราะขาด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน แต่ในเกมรับมือ "ตราหมี" แผงมิดฟิลด์ของ "เดอะ เร้ดส์" กลับมาเล่นได้อย่างเปล่งปลั่งอีกครั้ง และสามารถจัดการกับกองกลางของทีมเยือนจนอยู่หมัด
กัปตันเฮนโด้ ทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ ได้อย่างไม่มีที่ติโดยเฉพาะการเล่นลูกหนัก ที่ทีมขาดหายไปช่วงที่ ฟาบินโญ่ ลงสนาม นอกจากนี้ เฮนเดอร์สัน ยังมีทีเด็ดในเรื่องการวิ่งทะลุทลวง และการผ่านบอล ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ทีมสามารถเก็บชัยชนะในช่วง 90 นาทีได้อย่างหมดจด
ที่สำคัญฟอร์มของ เฮนเดอร์สัน ยังช่วยยกระดับให้กับ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม และ อเล็กซ์ อ็อดซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่โชว์ฟอร์มได้สุดยอดจริงๆ โดยทั้งสองคนประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งประตูขึ้นนำ 1-0 มาจาก แชมเบอร์เลน ที่เปิดให้ ดาวเตะดัตช์ โหม่งเข้าไป ส่วนประตู 2-0 ไวนัลดุม โชว์ทักษะเลี้ยงหลบคู่แข่งตรงริมเส้น ก่อนจะกระชากบอลไปเปิดให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ สังหารไม่เหลือซาก
อย่างไรก็ตาม ความยอดเยี่ยมของทั้งสามคน ไม่สามารถช่วยให้ ลิเวอร์พูล ป้องกันแชมป์ได้ และต้องโบกมือลาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 (แพ้ เบนฟิก้า) ซึ่งในครั้งนั้นพวกเขาก็เล่นในฐานะแชมป์เก่า หลังผงาดชู "โทรฟี่หูกาง" ในปี 2005 ที่อิสตันบูล
3. ฟีร์มีโน่ ยิงในแอนฟิลด์ได้แล้ว
ใครจะไปเชื่อว่า โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยิงประตูในแอนฟิลด์ไม่ได้เลยในฤดูกาลนี้ จนหลายคนมองว่า "บ็อบบี้" หลอนสนามเหย้าตัวเองหรือเปล่า อย่างไรก็ตามสถิติเลวร้ายเหล่านั้นก็หมดไปซะที เมื่อเจ้าตัวจัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ
สำหรับประตูดังกล่าวถือเป็นลูกแรกในรอบ 20 เกมจากทุกรายการที่ ฟีร์มีโน่ ลงเล่นในแอนฟิลด์ โดยประตูสุดท้ายที่เขาทำให้กับต้นสังกัดในบ้านตัวเองเกิดขึ้นในแมตช์ที่ปะทะ เอฟซี ปอร์โต้ เมื่อเดือนเมษายน 2019 หรือประมาณ 337 วันก่อนเลยทีเดียว
ตอนนี้ สตาร์ลูกหนัลชาวบราซิเลียน ตะบันประตูในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ ลีก ไปถึง 15 ประตู มากกว่า โรนัลโด้ ตำนานกองหน้าแชมป์โลกเพื่อนร่วมชาติที่ยิงได้ 14 ประตู ส่วนในฤดูกาลนี้ก็ซัดไปแล้ว 11 ประตู แต่นี่เป็นเพียงสถิติส่วนตัวที่ไม่สามารถนำไปแลกกับการเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้
กระนั้นหากมองในด้านบวก ถือว่า ฟีร์มีโน่ คงจะกลับมามีความมั่นใจมากขึ้นในการยิงประตูที่แอนฟิลด์ และหลังจากนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" น่าจะได้เห็นชื่อของเขาอยู่บนสกอร์บอร์ดในฐานะคนยิงประตูให้กับต้นสังกัด บ่อยขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน
4. โอบลัค โชว์ฟอร์มสุดหนึบสมเป็นว่าที่มือ 1 ของโลก
แฟนบอลลิเวอร์พูล คงได้แต่ส่ายหัวเมื่อเห็นผลงานของ ยาน โอบลัค ผู้รักษาประตูชาวสโลเวเนีย ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ป้องกันจังหวะการยิงประตูของผู้เล่นลิเวอร์พูล หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งชัยชนะของ "ตราหมี"ในเกมนี้ ส่วนสำคัญมาจากความสุดยอดของ นายทวารรายนี้
จากสถิติที่แสดงให้เห็นหลังจบเกมระบุว่า โอบลัค โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟถึง 9 ครั้ง มากกว่านายทวารทุกคนที่เล่นในแอนฟิลด์ ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ และมากที่สุดในการเล่นชิงชัยถ้วยใบโตยุโรปต่อเกมในรอบน็อกเอาต์ในซีซั่น 2019/20
ต้องยอมรับว่าความเหนียวหนึบของ นายทวารวัย 27 ปี มีส่วนต่อเกมของ แอต.มาดริด อย่างมาก เพราะหากไม่ได้การป้องกันอย่างน่าเหลือเชื่อของเขา งานนี้มีความเป็นไปได้สูงที่ทีมเยือนจะพ่ายตั้งแต่ 90 นาที กระนั้นคงไม่เกินเลยหากจะยกให้ โอบลัค คือว่าที่มือ 1 ของโลก
5. โอกาสเยอะแต่ขาดความคม
แม้ว่า โอบลัค จะโชว์ฟอร์มเหนียวหนึบในเกมนี้ แต่ส่วนหนึ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบมาจากการเล่นที่ขาดความเฉียบคมของแนวรุกของทีม โดยทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ มีโอกาสยิงประตูหลายครั้ง แต่ดันยิงทิ้งยิงขวางอย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากนี้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังมีโอกาสทองฝังเพชรในการทำประตู และทุกอย่างก็เกือบสมบูรณ์แบบ เพราะ โอบลัค หมดปัญญาป้องกันแล้ว แต่ดันชนคานดังสนั่น ขณะที่เพื่อนร่วมทีมก็พยายามสร้างโอกาสแต่ดูเหมือนเรดาร์ในการทำประตูไม่แม่นเหมือนเดิม
ขณะเดียวกันการพ่ายแพ้ในเกมนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของ ลิเวอร์พูล ที่เสียท่า 2 แมตช์ติดต่อกันในการเล่นรอบน็อกเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ภายใต้การคุมทัพของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่สำคัญนับตั้งแต่ต้นฤดูกาล 2017/18 นายทวารจาก "หงส์แดง" ทำผิดพลาดจนนำไปสู่การเสียประตูในเกมถ้วย "บิ๊กเอียร์" มากที่สุด (อาเดรียน 1 ครั้ง, ลอริส คาริอุส 3 ครั้ง)
articlepract.com
|