ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของ เชลซี ได้ออกมาปกป้องนโยบายการซื้อขายและทำสัญญาของสโมสร โดยยืนกรานว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยให้สโมสร “คว้าแชมป์ได้อย่างสม่ำเสมอ”
“สิงห์บลูส์” ใช้เงินไปกว่า 1.15 พันล้านปอนด์ในการซื้อขายนักเตะ แต่จบฤดูกาลได้เพียงอันดับที่ 6 เท่านั้น นับตั้งแต่กลุ่มทุนที่นำโดย ท็อดด์ โบห์ลี เข้ามาบริหารสโมสรในเดือนพฤษภาคม 2022
นโยบายอย่างหนึ่งของพวกเขาภายใต้การกำกับดูแลของ พอล วินสแตนลีย์ และ ลอว์เรนซ์ สจ๊วร์ต สองผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาก็คือการมอบสัญญาระยะยาวให้กับแข้งดาวรุ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยง
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานถึงระยะเวลารวมของสัญญาผู้เล่นของพวกเขาที่ยังมีสัญญาเหลืออยู่ซึ่งรวมกันมากถึง 191 ปี โดยตัวเลขดังกล่าวมากเกือบสองเท่าของทีมอื่นๆ
แม้ว่าแฟนๆ อาจจะยินดีกับกลยุทธ์นี้สำหรับผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ระดับสูงอย่าง โคล พาล์มเมอร์ ซึ่งผูกมัดไว้จนถึงปี 2033 แต่ก็มีการตั้งคำถามสำหรับดาวรุ่งคนอื่นๆ เช่นกัน
แต่ วินสแตนลีย์ และ สจ๊วร์ต ยืนหยัดอย่างมั่นคงในเรื่องนี้ โดยมองว่าเป็นการแสดงออกถึงศรัทธาในตัวผู้เล่นที่พวกเขาเชื่อว่าจะพัฒนาได้
“ไม่ว่าจะตัวนักเตะ, พรสวรรค์, และคุณค่าที่พวกเขามีในระยะยาวนั้นสำคัญมากสำหรับสโมสร จริงๆ แล้ว มันเป็นการยอมรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อความสามารถในการค้นหาพรสวรรค์” สจ๊วร์ตกล่าวกับ The Telegraph
“ที่นี่คือสโมสรที่ต้องอยู่ในแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นสโมสรที่ต้องแข่งขันเพื่อคว้าแชมป์อย่างสม่ำเสมอ และเราต้องการทำเช่นนั้นด้วยวิธีการเล่นฟุตบอลในแบบของเราเช่นกัน นั่นคือความทะเยอทะยานอย่างแท้จริง
“จากนั้นแผนก็คือเราจะเดินไปบนเส้นทางที่จะทำให้สิ่งนั้นเป็นไปได้ และนั่นคือการลงทุนในพรสวรรค์ มุ่งมั่นพัฒนาพรสวรรค์ และพัฒนาวิธีการเล่นในแบบที่เราต้องการให้ทีมของเราเล่น”
“หากไม่มีการคิดล่วงหน้าและความก้าวหน้า ทุกคนก็จะหยุดนิ่ง ดังนั้น นี่เป็นแนวคิดที่ชาญฉลาดที่เจ้าของนำมาใช้ในช่วงเริ่มต้นและเป็นสิ่งที่พวกเขาเชื่อมั่น”
“เมื่อเราพิจารณาร่วมกันโดยแยกเป็นส่วนๆ เราก็คิดว่า “ใช่แล้ว คุณเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งนี้จะได้ผลอย่างไร” และเราเชื่อมั่นในสิ่งนี้”