เอียน แอร์ อดีตผู้บริหารระดับสูงของ ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงในฝั่งการบริหารของ "หงส์แดง" มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ เคนนี่ ดัลกลิช เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2011 แล้ว
แอร์ เคยรับหลายตำแหน่งกับ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็นกรรมากรจัดการ, ประธานบริหาร และประธาน ซึ่งในช่วงนั้นเขาก็โดนตำหนิเกี่ยวกับนโยบายหลายอย่าง อาทิเช่น การตั้งคณะกรรมการด้านการเสริมทัพ และการสร้างอัฒจันทร์ใหม่ เป็นต้น ก่อนที่เขาจะบอกลาทีมในตอนที่หมดสัญญากับ ลิเวอร์พูล เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2017
นักธุรกิจคนดัง เผยว่า "เจอร์เก้น (คล็อปป์) เป็นคนที่ยอดเยี่ยม ผมเป็นแฟนตัวยงของเขา และเอาเขาเข้ามาอยู่กับทีมเอง แต่การเปลี่ยนแปลงในฝั่งการบริหารน่ะมันเริ่มจากยุคของ เคนนี่ ดัลกลิช การเอา เคนนี่ กลับมาในครั้งนั้นเป็นการทำเพื่อทำให้ทีมมีความมั่นคงในตอนที่ทีมกำลังเจอกับความวุ่นวาย เขาเป็นหนึ่งในตำนานที่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อเขาได้ และสามารถปรับสิ่งต่างๆ ใหม่ได้อย่างรวดเร็วด้วย เขาทำงานได้ยอดเยี่ยมมากๆ เขาทำให้เราไปถึงรอบชิงชนะเลิศถึง 2 ครั้งในปีแรกของเขา แล้วจากนั้นเขาก็รับบทบาทการเป็นโค้ชที่รู้จักเกมฟุตบอลเป็นอย่างดี รวมถึงใช้งานและพัฒนาเหล่าแข้งเยาวชนได้ด้วย"
"หลังจากนั้น เบรนแดน (ร็อดเจอร์ส) ก็เข้ามา และทำงานได้ยอดเยี่ยมมากๆ จนถึงขั้นพาเราเป็นอันดับ 2 ก่อนที่สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะถูกส่งต่อให้กับ เจอร์เก้น ที่ทำผลงานได้สุดยอด มันไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาข้ามคืนหรอก เราวางแผนกันเอาไว้เป็นอย่างดี และเราก็ต้องทำตามแผนที่ว่าให้ได้"
แอร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานบริหารของ แนชวิลล์ เอสซี ทีมใหม่ที่เตรียมลงแข่ง เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ (เอ็มแอลเอส) สหรัฐอเมริกา เป็นซีซั่นแรก ในฤดูกาล 2020 นั้น กล่าวด้วยว่าจนถึงตอนนี้ตนยังรัก ลิเวอร์พูล อยู่ และตามดูเกมของทีมอยู่บ่อยๆ "เรื่องราวบทนั้น (หมายถึงการที่เขาเป็นผู้บริหารของ ลิเวอร์พูล) มันจบลงไปแล้ว มันเป็นช่วงเวลาทีดีที่สุดในชีวิตของผม ผมเองรู้สึกภูมิใจกับช่วงเวลาของตัวเองตอนอยู่ที่นั่น รวมถึงรู้สึกซาบซึ้งที่เคยได้ทำงานที่นั่น แต่ตอนนี้ผมเป็นแค่แฟนบอลคนหนึ่งเท่านั้น ผมชอบดูเกมของพวกเขา ผมชอบดูว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ผมชอบดูว่าพวกเขาประสบความสำเร็จอะไรบ้าง"
"มันเป็นเรื่องดีทีเดียว เพราะช่วง 10 ปีที่ผมอยู่กับที่นั่นน่ะมันเป็นเรื่องยากมากที่จะรู้สึกสนุกได้มากเท่ากับในตอนนี้ และที่ แนชวิลล์ มันก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน คุณจะมองเกมในแบบที่ต่างออกไป (หมายถึงระหว่างในฐานะผู้บริหารกับในฐานะแฟนบอล) ถ้านักเตะเล่นได้ดี คุณก็อาจจะระแวงว่าเอเยนต์ของเขากำลังติดต่อเพื่อขอสญญาฉบับใหม่ แต่ถ้าเขาเล่นได้แย่ คุณก็รู้ดีว่าสื่อจะตามล่าคุณอย่างกับต้องการฆ่าคุณ"
"มันมีหลายอย่างเกิดขึ้นกับวงการ และเรื่องเหล่านั้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้คุณไม่สามารถรู้สึกสนุกมากอย่างที่ต้องการได้แบบทุกวัน ผมสนุกกับช่วงเวลาที่อยู่กับที่นี่น แต่ในฐานะแฟนบอลที่ตามดูการแข่งขันอย่างในตอนนี้แล้วนั้น มันก็ทำให้ผมรู้สึกสนุกไปกับพวกเขาได้ง่ายกว่า ตอนนี้ผมสามารถไปยืนในบาร์แล้วสบถใส่โทรทัศน์ได้แล้ว! แต่ตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรที่น่าสบถใส่เท่าไหร่น่ะนะ เพราะพวกเขาเล่นได้ยอดเยี่ยมมากๆ"
"ตอนที่ผมเข้ามาทำงานกับทีมน่ะ ผมมองเห็นเลยว่าด้านการตลาด และด้านธุรกิจของทีมมันแย่มากๆ ตอนนั้นทีมตามหลังคู่แข่งอย่าง ยูไนเต็ด แบบห่างไกลสุดกู่ และพวกเขาก็เสียโอกาสทองไปหลายครั้ง พวกเขาได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2005 แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นในด้านการตลาดได้ดีพอ การที่ผมเข้าไปเพื่อพยายามเปลี่ยนเรื่องรายได้ของทีมมันถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่เลย แล้วจากนั้นเราก็มีญหาเรื่องสิทธิ์การเป็นเจ้าของทีม สิ่งนั้นเป็นการทำลายโครงสร้างของธุรกิจอย่างแท้จริง"
"มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าในหลายๆ ด้าน และมันก็เหมือนเป็นตลกร้ายด้วย เพราะตอนนั้นเรากำลังโกยรายได้เป็นกอบเป็นกำจากด้านสปอนเซอร์กับ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ที่มีมูลค่ามหาศาล และจากข้อตกลงกับ นิว บาลานซ์ ตอนนั้นมันมีข้อเสนอเหล่านั้นเข้ามา และในขณะเดียวกันเราก็เสียเงินไปอยู่เรื่อยๆ ตามไปด้วย เพราะปัญหาด้านโครงสร้างเจ้าของทีม"
"เราเริ่มพลิกสถานการณ์ได้ตอนที่ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป เข้ามา ผมทำงานกับ จอห์น (เฮนรี่), ทอม (เวอร์เนอร์) และ ไมค์ (เอ็ดเวิร์ดส์) อย่างใกล้ชิด มันเป็นกระบวนการที่กินเวลา 7 หรือ 8 ปี และกระบวนการเหล่านั้นก็ยังดำเนินการอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าทุกคนของสโมสรคงจะพูดอยู่ดีว่าพวกเขายังมีงานที่ต้องทำกันอยู่"
ติดตามข่าว : greenapplegames.com
|