ลิเวอร์พูล ยังคงทำผลงานสุดยอดเมื่อบุกชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-0 เกมลีกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ "หงส์แดง" รักษาตำแหน่งจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่น พร้อมทั้งยังสะกดคำว่า "แพ้" ไม่เป็นในพรีเมียร์ลีก และต้องการชัยชนะอีก 8 เกมจาก 14 แมตช์ที่เหลืออยู่ก็จะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีสมัยแรกในรอบ 30 ปี
เกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดเต็มไม่มียั้งเมื่อสั่งทีมเกิดฉากบุกใส่เจ้าบ้านแบบไม่เกรงใจ โดยแมตช์นี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่นักเตะเห็นแก่ตัว และยังเป็นผู้เล่นที่ทีมขาดไม่ได้ เพราะ "บังโม" ทั้งยิงทั้งจ่าย และมีส่วนกับเกมตลอด
ส่วนเกมรับต้องบอกว่า อลีสซง เบ็คเกอร์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ ทำผลงานได้อย่างลงตัว และสถิติการเล่น 9 แมตช์ในลีกหลังสุดทีมเสียเพียงแค่ 1 ประตูเท่านั้น ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ คล็อปป์ พอใจมากๆ เพราะเมื่อเกมรับแน่น เกมรุกก็สามารถเล่นได้สบายยิ่งขึ้น
1. เดินหน้าสู่เป้าหมาย
ลิเวอร์พูล เดินหน้าทำลายสถิติในทุกๆ สัปดาห์ที่พวกเขาลงสนาม โดยในเกมที่บุกชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทำให้ตอนนี้ทัพ "หงส์แดง" เดินหน้าเก็บชัยชนะในเกมลีกไปแล้ว 23 แมตช์เสมอ 1 เกม จากทั้งหมด 24 แมตช์ทำให้แต้มทะลุเข้าสู่ 70 คะแนน พร้อมทั้งทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 19 คะแนนไปเรียบร้อยแล้ว
สำหรับตอนนี้ "เดอะ เร้ดส์" สามารถเอาชนะทุกทีมในพรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ โดยเป็นครั้งแรกของสโมสรที่ประสบความสำเร็จในสถิตินี้ตามหน้าประวัติศาสตร์ของทีม ที่สำคัญตอนนี้พวกเขาต้องการชัยชนะอีก 8 เกมจากโปรแกรมที่เหลือ 14 แมตช์ ก็จะปลดล็อก 30 ปีที่รอคอยแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี
นอกจากนี้ฟอร์มการเล่นของลูกทีมกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าเจ้าบ้าน ทั้งครองเกมได้มากกว่า สร้างโอกาสทำประตูหลายต่อหลายครั้ง ที่สำคัญพวกเขาบุกชนะในลอนดอน 5 เกมติดต่อดกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคเซอร์เคนนี่ ดัลกลิช เมื่อปี 1986
ขณะเดียวกันตอนนี้ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะ 15 แมตช์ติดต่อกันเข้าไปแล้วในซีซั่นนี้ ขณะเดียวกันสถิติไม่แพ้ใครเพิ่มขึ้นเป็น 41 เกม และกำลังเดินหน้าที่จะลุ้นทำลายสถิติของ อาร์เซน่อล ยุคไร้พ่ายที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 2003/2004 จำนวน 49 แมตช์
2. ซาลาห์ สุดยอด
หลายคนมักจะค่อนขอดว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นนักเตะที่เห็นแก่ตัว บางครั้งมีโอกาสส่งให้เพื่อนร่วมทีม แต่มักจะดื้อและพยายามยิงประตูเอง แต่ในแมตช์นี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงเห็นแล้วว่า "คิง ออฟ อียิปต์" มีความสำคัญกับทีมมากแค่ไหน
การที่ "เดอะ เร้ดส์" ขาด ซาดิโอ มาเน่ เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องใช้ ดิว็อค โอริก้า ลงเล่นทางฝั่งซ้าย ขณะที่ "บังโม" ข้างทางขวา โดยมี โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ทำหน้าที่เป็นฟอลซ์ไนน์ งานนี้ทั้ง "บ็อบบี้" และ ซาลาห์ ยังคงเล่นกันได้อย่างเข้าขา ส่วน หัวหอกเบลเยียม เล่นได้ตามมาตรฐานตัวเอง และมีส่วนช่วยให้ทีมได้จุดโทษในครึ่งแรก
ขณะที่ "โม ซาลาร์" แมตช์นี้ทำผลงานได้อย่างสุดยอดทั้งยิงประตูปลดล็อกให้ทีมจากจุดโทษ และยังมีส่วนในการแอสซิสต์สุดงามให้กับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน กดประตูที่สอง นอกจากนี้เจ้าตัวยังเกือบเพิ่มสกอร์ให้ทีมและตัวเอง แต่น่าเสียดายที่ซัดไปชนเสาออกไป
ซาลาห์ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่นักเตะเห็นแก่ตัว มีหลายจังหวะที่เจ้าตัวลงมาช่วยเล่นเกมรับ และหลายครั้งที่วิ่งไล่จนแนวรับ "ขุนค้อน" เสียจังหวะ ที่สำคัญความเร็วของ ดาวเตะทีมชาติอียิปต์ ช่วยให้ "หงส์แดง" เล่นเกมสวนกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งดูได้จากจังหวะขึ้นนำ 2-0
ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ซาลาห์ คู่ควรกับตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้ และคงทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล คล้ายข้อสงสัยเกี่ยวกับการเล่นของเขาได้ซะที เพราะนี่คือนักเตะที่พร้อมวิ่งตลอดทั้งเกมเพื่อสโมสร และพยายามหาช่องทางเพื่อให้ทีมได้ประตูตลอดเวลา
3. ฟาบินโญ่ ขาดจังหวะการเล่น
นับตั้งแต่ที่ ฟาบินโญ่ หายเจ็บกลับมาดูเหมือนเจ้าตัวยังขาดความคุ้นเคยเกม นั่นส่งผลให้จังหวะการเล่นยังไม่คงที่ และทำให้เขายังไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งออกมาได้ แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องดี เนื่องจากโปรแกรมที่ไม่ค่อยหนักมาก ทำให้ คล็อปป์ กล้าใช้งานเขาเพื่อสร้างความคุ้นเคยเกม
ก่อนหน้านี้ นายใหญ่ชาวเยอรมัน จับ ฟาบินโญ่ ลงเล่นตัวจริงในเกมเสมอ ชูร์วสบิวรี่ ทาวน์ 2-2 ศึกเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีหลายจังหวะที่ ดาวเตะเลือดบราซิเลียน กะจังหวะบอลผิดพลาด รวมไปถึงการส่งและเลี้ยงบอลที่ไม่แน่นอน จนทำให้โดนคู่แข่งตัดเกมได้บ่อยๆ
ขณะที่ในแมตช์พบ เวสต์แฮม ที่สนามลอนดอน สเตเดี้ยม การที่ "หงส์แดง" มีสกอร์นำสองประตู นั่นเป็นเหตุผลที่ คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง ฟาบินโญ่ ลงเล่นแทน โอริกี้ เพื่อหวังจะเพิ่มผู้เล่นแดนกลางและเป็นการปิดเกมไปในตัว แต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวเกือบทำให้ทีมต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
ฟาบินโญ่ เล่นพลาดมหันต์ที่หน้าประตูเมื่อพยายามเลี้ยงบอล จากนั้นก็ส่งพลาดทำให้ ดีแคลน ไรซ์ ตัดบอลได้และตะบันเต็มข้อแต่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ป้องกันได้อย่างสุดยอด นอกจากนี้ยังมีหลายจังหวะที่ ดาวเตะบราซิเลียน ส่งบอลผิดพลาด แต่การที่ทีมเก็บ 3 คะแนนได้ ก็ถือว่าเจ้าตัวรอดจากการถูกตำหนิไปโดยปริยาย
4. อลีสซง ซูเปอร์เซฟ
สาวก "เดอะ ค็อป" เคยหลอนกับตำแหน่งผู้รักษาประตูมานานในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อพวกเขาได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ ทำหน้าที่เฝ้าเสา บอกเลยว่านี่คือโกลที่ทำให้แฟนบอล "หงส์แดง" รู้สึกโล่งใจมากๆ เพราะเป็นนายทวารที่มีความแน่นอน แม้จะเล่นแบบหวือหวาก็ตาม
ช่วงต้นฤดูกาลนี้ อลีสซง โดนอาการบาดเจ็บพรากไปหลายแมตช์ แต่ยังดีที่ อาเดรียน ทำหน้าที่ทดแทนได้อย่างเหมาะสม และเมื่อเจ้าตัวกลับมาฟิตสมบูรณ์ รวมทั้งได้เล่นร่วมกับ โจ โกเมซ และ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยิ่งทำให้แนวรับของ "เดอะ เร้ดส์" ยากจะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย
สถิตินับตั้งแต่ที่ โกเมซ กับ ฟาน ไดค์ ลงเล่นร่วมกันตลอด 9 เกมพวกเขาเสีย 1 ประตูเท่านั้น และผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่ใช่แค่สองเซนเตอร์ฮาล์ฟเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งมาจากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของ อลีสซง ที่ช่วยป้องกันจังหวะอันตรายได้หลายต่อหลายครั้ง
แมตช์นี้ อลีสซง โชว์ซูเปอร์เซฟแบบเน้นๆ ถึง 3 ครั้งซึ่งหากไม่ได้ โกลชาวบราซิเลียน อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเกม โดยเฉพาะจังหวะยิงของ โรเบิร์ต สน็อดกราสส์ และ ไรซ์ ( 2 ครั้ง) แสดงให้เห็นชัดเจนว่า "เทพธอร์" เป็นนายทวารที่แฟนบอลไว้วางใจได้จริงๆ
5. หนุ่มอ็อกซ์ทำให้ คล็อปป์ ชื่นใจ
อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ทำผลงานได้ดีเยี่ยมในการลงเล่นตัวจริงอย่างต่อเนื่องให้ลิเวอร์พูล ในช่วงที่ ฟาบินโญ่ บาดเจ็บ แต่งานนี้ต้องยอมรับว่า "หนุ่มอ็อกซ์" สร้างผลงานได้สุดยอดโดนใจ คล็อปป์ อย่างมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้า ดาวเตะเลือดผู้ดี ทำผลงานไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากที่ ฟาบินโญ่ บาดเจ็บ และ คล็อปป์ ให้โอกาส อ็อกซ์เลด ได้ลงเล่นตัวจริง เจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อสามารถประสานงานกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม ได้อย่างสุดยอด
ในเกมนี้ มิดฟิลด์วัย 26 ปี แสดงให้ คล็อปป์ ได้เห็นแล้วว่าเขาคู่ควรที่จะได้ลงเล่นตัวจริง เพราะสไตล์การเล่นที่ดุดันพร้อมวิ่งทะลุทะลวงในเกมรุก และยังค่อยเล่นเกมรับรวมทั้งเชื่อมเกมให้ไหลลื่น นอกจากนี้ยังคอยวิ่งหาช่องเพื่อทำประตู ซึ่งเกมนี้เขาก็แสดงให้เห็นถึงความขยัน และแข็งแกร่งอย่างมาก ขนาดโดนกองหลังวิ่งชนยังไม่ล้ม ก่อนจบสกอร์อย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน อาจจะรู้สึกผิดหวังนิดๆ เพราะเขายังไม่มีโอกาสเล่นจนครบ 90 นาทีในลีกฤดูกาลนี้เลย เพราะเกมล่าสุดก็โดนเปลี่ยนตัวออกตามเคย แต่หากมองในแง่บวก คล็อปป์ ต้องการพักเจ้าตัวเพื่อจะได้ลงเล่นในแมตช์ต่อไปรับมือ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่แอนฟิลด์ วันเสาร์นี้
ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว แวดวงกีฬา เทรนใหม่ๆ ได้ที่ justdinnerhouston.com
|