รีวิว Mazda2 2024 ขุมพลังดีเซล 1.5 ลิตร ขับดีเป็นทุนเดิมแต่เพิ่มความสปอร์ต
รีวิว Mazda2 2024 จะเป็นเพียงการปรับโฉมย่อยหรือไมเนอร์เชนจ์เท่านั้น แต่คำถามที่สำคัญคือ ซิตี้คาร์น้องเล็กจากค่ายมาสด้าจะยังคงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ท่ามกลางการทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่จากฝั่งคู่แข่งได้หรือไม่ บทความนี้ Sanook Auto จะพาไปหาคำตอบกันครับ
Mazda2 รุ่นปี 2023 – 2024 ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นการปรับโฉมตามตลาดญี่ปุ่นที่ได้เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี 2566 โดยเน้นจุดขายไปที่การปรับดีไซน์เพื่อสะท้อนความเป็นตัวตนของเจ้าของรถได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานเฉกเช่นรถยนต์ระดับพรีเมียม ที่บางอย่างก็ยังหาไม่ได้จากคู่แข่งในปัจจุบัน
มาสด้า2 ใหม่ ถูกเปิดตัวใน 2 ดีไซน์ ได้แก่ New Wave Design และ Sport Design โดยที่การตกแต่งแบบ New Wave Design จะมาตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นกลาง (1.3 C, 1.3 S และ XD) ขณะที่ Sport Design จะถูกสงวนไว้เฉพาะรุ่นท็อปของทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลเท่านั้น (1.3 SP และ XDL)
อีกทั้งยังเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นตกแต่งพิเศษที่เรียกว่า Rookie Drive และ Clap Pop ซึ่งนำเอารุ่น 1.3 C Sports ตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู มาตกแต่งเพิ่มสีสันเอาใจคนรุ่นใหม่ โดยที่รุ่น Rookie Drive จะถูกตกแต่งด้วยสีส้ม Racing Orange ตัดกับสีตัวถังเพื่อเน้นความสดใส ขณะที่รุ่น Clap Pop จะถูกตกแต่งด้วยสีขาว Ceramic White ที่ดูเรียบหรูและมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
สำหรับการทดสอบครั้งนี้เราได้มีโอกาสขับรุ่น 1.5 XD Sports ซึ่งก็คือรุ่นรองท็อปของเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 1.5 ลิตร ตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ก่อนจะได้คำตอบว่ามันยังเป็นรถที่มีความดีงามทั้งด้านเครื่องยนต์และช่วงล่าง รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐานในระดับที่สามารถฟาดฟันกับคู่แข่งรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันได้อย่างสบาย
รีวิว Mazda2 2024 ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของ Mazda2 รุ่น 1.5 XD Sports เป็นแบบที่เรียกว่า New Wave Design ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ จากกระจังหน้าแบบเรียบที่ตกแต่งด้วยสีเดียวกับตัวถังรถ เสริมด้วยกรอบกระจังหน้าสีดำเงา และแถบตกแต่งสีเหลืองช่วยเพิ่มความสะดุดตา ขณะที่ดีไซน์ของชุดไฟหน้ายังคงยกมาจากรุ่นเดิมทั้งหมด
ส่วนด้านท้ายมีการออกแบบกันชนท้ายใหม่ ตกแต่งด้วยแถบสีเหลืองเพื่อให้เข้ากับด้านหน้า ซึ่งเมื่อตัดกับตัวถังสีเทา Polymetal Gray ก็ดูสวยลงตัวดีเหมือนกัน โดยที่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตรทั้งหมด จะได้ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วที่ช่วยให้ซุ้มล้อดูเต็มยิ่งขึ้น
ด้านอุปกรณ์มาตรฐานของรุ่น 1.5 XD Sports ก็ยังคงแน่นเอี๊ยดเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Signature, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบปรับระดับไฟหน้าอัตโนมัติ (Auto Leveling System), ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน, กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว, ปลายท่อไอเสียโครเมียม, สปอยเลอร์เหนือฝากระโปรงท้าย และเสาอากาศแบบครีบฉลาม
ภายใน
ภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์ของเดิมเอาไว้แทบทั้งหมด จะมีก็เพียงแผงคอนโซลหน้าที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุที่เรียกว่า Bioplastic ที่ตกแต่งด้วยสีแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสีภายนอก โดยตัวถังสีเทา Polymetal Gray จะได้ภายในตกแต่งด้วยสีขาว Pure White อย่างที่ปรากฏในภาพ
แม้ว่ารุ่น XD จะเป็นตัวรองลงมาจากรุ่น XDL แต่ก็มีอุปกรณ์ติดตั้งมาให้ครบครันเพียงพอกับการใช้งาน โดยรุ่น XD Sports จะได้เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำปรับระดับด้วยมือ เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับแยก 60:40 พร้อมพนักพิงศีรษะ 3 ตำแหน่งที่สามารถปรับความสูง-ต่ำได้ ขณะที่กุญแจเป็นแบบ Smart Keyless Entry ทำงานคู่กับปุ่ม Push Start Button เป็นต้น
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับระดับได้ 4 ทิศทาง, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่, มาตรวัดรอบเครื่องยนต์แบบดิจิทัล, แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้า, หน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว, ปุ่มควบคุม Center Commander, รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto (เฉพาะรุ่น 1.3 S, 1.3 SP และ XDL สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สายได้), Bluetooth, USB/AUX, ลำโพง 6 ตำแหน่ง และช่องเสียบ SD Card สำหรับระบบนำทาง เป็นต้น
ขณะที่ระบบความปลอดภัยของรุ่น XD ประกอบไปด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัว DSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบไฟสัญญาณฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ESS, ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, เซ็นเซอร์กะระยะท้าย 4 จุด และถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นต้น
การปรับไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้มีการเพิ่มระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ Advanced SCBS (Advanced Smart City Brake Support) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ขณะที่ระบบช่วยเหลือการขับขี่อื่นๆ จะมีให้เฉพาะรุ่นท็อปสุดของทั้งเบนซินและดีเซลเท่านั้น (1.3 SP และ 1.5 XDL) ซึ่งจะประกอบไปด้วยฟังก์ชันดังนี้
ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน MRCC
ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ HBC
ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM
ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA
ระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง
เครื่องยนต์
Mazda2 รุ่นปี 2023 – 2024 ยังคงติดตั้งขุมพลังบล็อกเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร และดีเซล 1.5 ลิตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 6 สปีด ที่มีโหมดเกียร์ธรรมดา Activematic เช่นเคย
– เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G แบบ 4 สูบ ความจุ 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 93 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที รองรับน้ำมัน E20 และมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร
– เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D แบบ 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 26.3 กม./ลิตร
ทั้งสองรุ่นยังคงรักษาเอกลักษณ์การขับขี่ด้วยระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ที่ช่วยลดอาการโคลงของตัวรถในขณะเข้าโค้ง พร้อมช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบกึ่งอิสระทอร์ชันบีม ติดตั้งระบบเบรกแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ทุกรุ่นย่อย ยกเว้นเฉพาะรุ่น XDL ที่จะได้ระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ
การขับขี่
อันที่จริงต้องยอมรับว่าการขับขี่ Mazda2 เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D แทบไม่มีความแตกต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เนื่องจาก Mazda2 จัดว่าเป็นหนึ่งในรถกลุ่ม B-segment ที่มีสมรรถนะช่วงล่างดีที่สุดในกลุ่ม โดยในรุ่นแฮทช์แบ็ก 5 ประตู จะถูกเซ็ตช่วงล่างมาในแนวหนึบหนับ ค่อนข้างแข็งกว่า Honda City 1.0 Turbo ที่เราทดสอบขับก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน ส่งผลให้การเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้งทำได้อย่างมั่นใจ เรียกว่าเกาะถนนแน่นหนึบน้องๆ Mazda3 Hatchback รุ่นปัจจุบันก็ว่าได้
ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 1.5 ลิตร ที่เราได้มีโอกาสทดลองขับนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดเหลือเฟือ ตอบสนองฝีเท้าได้ดีทั้งในช่วงต้นและช่วงกลางของรอบเครื่องยนต์ ซึ่งจะค่อนข้างแตกต่างจากเครื่องยนต์ 1.0 เทอร์โบของ ฮอนด้า ซิตี้ ที่จะเน้นไปช่วงกลางถึงช่วงปลายมากกว่า ส่งผลให้การเร่งแซงทำได้แบบชิลล์ๆ เพิ่มน้ำหนักคันเร่งเพียงนิดเดียว แรงบิดก็ไหลมาเทมา ฉีกรถคันที่อยู่ข้างๆ ได้อย่างสบาย ซึ่งจุดนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบของเครื่องยนต์ดีเซลที่เหนือกว่าเบนซินอย่างชัดเจน
ซึ่งจุดนี้เองทำให้ Mazda2 เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D กลายเป็นรถที่มีความยืดหยุ่นมากกว่ารุ่นเบนซิน SKYACTIV-G เพราะด้วยตัวถังขนาดเล็กกะทัดรัด ทำให้มันเป็นรถที่มีความคล่องตัวในเมือง เหมาะสำหรับการขับไปทำงานในวันธรรมดา และเมื่อต้องนำรถไปขับทางไกล พละกำลังที่เหลือเฟือก็สามารถทำความเร็วสูงได้แบบสบายๆ ควบคู่ไปกับความประหยัดน้ำมัน แถมปัจจุบันราคาของน้ำมันดีเซลก็ปรับลดลงจากเบนซินอยู่พอสมควร เรียกว่าถ้าใครต้องการความประหยัดถึงใจโดยไม่ต้องพึ่งมอเตอร์ไฟฟ้า ก็แทบไม่ต้องมองตัวเลือกอื่นเลย
สรุป
แม้ว่า Mazda2 Minorchange ปี 2023 – 2024 จะเป็นเพียงการปรับหน้าตารูปลักษณ์ให้ดูทันสมัยขึ้นอีกนิด พร้อมเพิ่มออปชันบางอย่างเข้าไป แต่สมรรถนะดั้งเดิมโดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร ก็เรียกว่ายังคงเป็นจุดขายสำคัญที่ทำให้รถคันนี้น่าใช้มาจนถึงปัจจุบัน หากคุณกำลังมองหารถซิตี้คาร์เน้นใช้งาน 1-2 คนเป็นหลักอยู่แล้วล่ะก็ ผมเชื่อว่ารถรุ่นนี้ยังสามารถตอบโจทย์ได้อย่างน่าประทับใจเช่นเดิมครับ
ราคาจำหน่าย Mazda2 Sedan และ Hatchback รุ่นปี 2023 – 2024 ทุกรุ่นย่อย
รุ่น 1.3 C ราคา 599,000 บาท
รุ่น 1.3 S ราคา 680,000 บาท
รุ่น 1.3 SP ราคา 730,000 บาท
รุ่น 1.5 XD ราคา 720,000 บาท
รุ่น 1.5 XDL ราคา 830,000 บาท
รุ่น 1.3 Rookie Drive Sports ราคา 662,000 บาท (มีเฉพาะตัวถังแฮทช์แบ็ก)
รุ่น 1.3 Clap Pop Sports ราคา 647,000 บาท (มีเฉพาะตัวถังแฮทช์แบ็ก)
อ้างอิง
https://www.sanook.com/
https://mydeedees.com/%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%a7-mazda2-2024-%e0%b8%82%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%a1/
|