"กสทช.เปิดทางกระทรวงไอซีที ดำเนินการดาวเทียม ชี้ต้องศึกษาความคุ้มทุน เพราะต้องใช้งบลงทุนสูงกว่า 8 พันล้านบาท โชว์ตัวอย่างกิจการดาวเทียมทั่วโลกขาดทุนยับ ต่างจากการทำ 3จี ที่มีผู้ใช้ทั่วโลก…

นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ปฏิบัติหน้าที่แทนกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีเห็นชอบถึงแนวทางเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมสองตำแหน่ง คือ วงโคจรดาวเทียม 120 องศาตะวันออก และวงโคจรดาวเทียม 50.5 องศาตะวันออก นั้น ถือเป็นสิทธิของกระทรวงไอซีที โดย กสทช.จะไม่เข้าไม่ก้าวก่าย

“เราจะดูในเรื่องของใบอนุญาต กระทรวงไอซีที จะดำเนินการอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของกระทรวง ซึ่งรัฐบาลจีนได้ทำหนังสือมาพูดถึงดาวเทียมเดิมที่ทำอยู่หมดอายุ ซึ่งการที่ไอซีทีจะรักษาสิทธิ์ของตำแหน่งวงโคจรก็เป็นเรื่องของกระทรวง แต่ต้องดูว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนตัวยังไม่ได้รับหนังสือจากกระทรวงไอซีทีถึงแนวทางในการดำเนินงานของวงโคจรทั้ง 2” นายประสิทธ์ กล่าว

ประธานกรรมการ กทช. ปฏิบัติหน้าที่แทน กรรมการ กสทช. กล่าวต่อว่า ก่อนหน้าส่วนตัวเคยปรึกษากับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงการลงทุนในกิจการดาวเทียมนั้น เป็นกิจการที่ต้องใช้งบประมาณสูง การยิงดาวเทียมขึ้นจะต้องใช้งบประมาณอย่างน้อย 8 พันล้านบาท โดยสิ่งที่เป็นห่วง คือ หาผู้ลงทุน โดยจุดไหนที่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ส่งไปไม่ถึงก็ควรจะพิจารณาไปเป็นจุดๆ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่ากิจการดาวเทียมทั่วโลกประสบปัญหาขาดทุนตามกัน

นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของบุคลบากรที่ควบคุมสถานีที่ต้องเป็นผู้ที่ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ที่ต้องมีผู้ดูแลควบคุมมากกว่า 100 คนขึ้นไป เฉพาะจุดนี้ก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งหากเป็นรัฐบาลลงทุนเองก็จ้ะต้องใช้เงินอย่างน้อย 7-8 พันล้านบาท โดยการที่ให้เอกชนลงทุน และรัฐบาลหารายได้จากการเก็บใบอนุญาต คาดการณ์ว่าน่าจะได้ปีละ 8 พันล้านบาท โดยในส่วนที่กระทรวงไอซีทีเสนอวงโคจรที่ 50.5 ว่าจะเอาไปประมูลในเชิงพาณิชย์นั้น สามารถทำได้ อยู่ที่การตีความมากกว่า

อย่างไรก็ตาม มองว่า กิจการดาวเทียมไม่เหมือนการดำเนินธุรกิจ 3จี ที่มีผู้ใช้จำนวนมาก โดยกิจการดาวเทียม จะมีผู้ใช้ประโยชน์ในส่วนของธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ อาทิ ใช้ในกิจการอาวกาศ กิจการทางเรือ ทางทหาร ที่เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ ไม่มีใครเป็นคู่แข่งขัน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา การดำเนินธุรกิจดาวเทียมในออสเตรเลียก็ประสบกับภาวะที่ขาดทุน โดยเทมาเส็กได้เคยไปซื้อกิจการมาก็ไม่สามารถสร้างกำไรได้ ต่อมาจึงได้ขายต่อให้กับรัฐบาลเพื่อนำมาให้ประชาชนได้ใช้เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหน่งวงโคจรดาวเทียม 120 องศาตะวันออกนั้น ขณะนี้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และการจัดทำคำของบประมาณ เพื่อการลงทุนดาวเทียมดวง ใหม่ที่จะนำมาใช้ในวงโคจรโดยจะส่งแผนงานให้กับ นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงไอซีที รับทราบภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่กระทรวงอซีทีจะนำเสนอต่อ ครม.ภายใน 30 วัน หลังจากที่ได้รับ

ด้าน นางจีราวรรณ กล่าวว่า สำหรับแนวทางเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมทั้งสองตำแหน่งนั้น ขณะนี้ ให้ กสท ดำเนินการเพื่อที่จะส่งหนังสือ และแผนงานทั้งหมด กสทช.เพื่อรับทราบแนวทางดำเนินงานทั้งหมดแล้ว โดยคาดการณ์ว่า กสท จะส่งแผนงานดังกล่าวให้ กสทช. ภายในสัปดาห์นี้เช่นกัน ส่วนจะเดินทางไปนำเสนอต่อสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ไอทียู นั้น ยังไม่กำหนดวันที่แน่ชัด แต่กระทรวงไอซีทีจะเชิญ กสทช.ร่วมเดินทางไปร่วมประชุมด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน ไอซีที ในฐานะหน่วยงานผู้แทนของรัฐบาลไทย มีตำแหน่งดาวเทียมที่ได้รับสิทธิ์จากไอทียู อยู่ในการดูแล 8 ตำแหน่ง ในส่วนที่ใช้งานแล้ว คือ ไทยคม 1 ที่ 120 องศาตะวันออก ไทยคม 2 ที่ 78.5 องศาตะวันออก ไทยคม 3 ที่ 78.5 องศาตะวันออก ไทยคม 4 หรือไอพีสตาร์ 119.5 ซึ่งไทยคม 1 และ 2 หมดอายุแล้ว ส่วน"

รวบรวมเนื้อหาโดย UFA369 เว็บเกมส์ UFABET อันดับ 1 ของไทย
สมัคร แทงบอล และ คาสิโนออนไลน์ ที่ดีที่สุด