แมนฯยูไนเต็ด ควรดีใจกับ 1 แต้มที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ให้มากๆเพราะว่ากันว่านี่คือเกมดีที่สุดใน (จนถึงตอนนี้) ของ นิวคาสเซิ่ล ที่มาพร้อมกันทุกอย่างทั้ง ฟอร์ม, ใจ และ วิ่งควาย
ภาพนักเตะ “สาลิกา” ปากเหวอ/ตาค้างหลังสิ้นเสียงนกหวีดเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
“ทูนอาร์มี่” ที่วันนี้แหกปากดูบอล “โคตรมัน” ถึงกับยืนปรบมือให้กับทุกๆเม็ดเหงื่อที่นักเตะเสียไปแม้เชื่อว่าทุกคนเสียดายกับ 2 แต้มที่หายไป
“ปีศาจแดง” กลับมาดีขึ้น (เล็กน้อย) ในครึ่งหลังและมาได้ประตูจากการแก้เกมของ ราล์ฟ รังนิค ที่คิดเร็วทำเร็วเปลี่ยนผู้เล่น 2 คนรวดหลังพักครึ่งจน เอดิสัน คาวานี่ ที่ส่งลงมายิงช่วยชีวิต
อย่างไรก็ตามครึ่งแรกเป็นสิ่งที่ “เร้ดอาร์มี่” รับไม่ได้อย่างแรงและหาก แมนฯยูไนเต็ด จะแก้ปัญหาอะไรก็ตามเพื่อให้ผลการแข่งขันอยู่ในสภาวะที่ “นิ่ง” กว่านี้ผมเชื่อว่าเรื่องพื้นฐานอย่างการ “จ่ายบอล” ควรต้องเริ่มต้นก่อนเป็นอันดับแรก
เกมที่ เซนต์เจมส์ พาร์ค เป็นอะไรที่เห็นชัดเจนว่าการเข้าบอลทั้งหนักและเร็วของผู้เล่น นิวคาสเซิ่ล ทำให้ทีมเยือนเหมือนถูกวางกับดักจนเล่นเกมของตัวเองไม่ได้เลย
“ปีศาจแดง” ทำเกมขึ้นมาอย่างทุลักทุเลเป็นเพราะฝั่งเจ้าถิ่นจะยืนรับ 2 ชั้นโดยกลางกับหลังจะไม่เปิดพื้นที่ระหว่างกันมากนัก
เหตุนี้ทำให้ เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์ ค่อนข้างได้บอลบ่อยเนื่องจากตำแหน่งที่ยืนจะอยู่ตรงครึ่งวงกลมซึ่งผู้เล่นสาลิกาจะปล่อย “จอย” แล้วจะมาจับอีกทีเมื่อข้ามเขตเข้ามา
ผมกำลังสื่ออะไร ผมกำลังจะบอกว่านี่คือจุดอ่อนของ ยูไนเต็ด เต็มๆเพราะเมื่อใดก็ตามที่ 2 คนนี้ได้บอลจะจ่ายแบบพื้นๆและช้าและไม่ค่อยได้เปรียบ ในบางจังหวะไม่ควรจ่ายแต่ก็ยังจ่ายจนเสียกลับมาอย่างรวดเร็ว
วิชั่นพิมพ์เขียวในหัวไม่มี แบ็คออกตัววิ่งแต่ไม่เห็นหรือเห็นแต่พยายามเล่นเพลย์เซฟเนิบๆ เป็นแบบนี้แข้ง “สาลิกา” ก็ปล่อยให้ดูโอทำอะไรกับบอลตามสบาย
นอกจากกลางแล้วนักเตะเกือบทั้งทีม “ลักลั่น” เป็นลูกโซ่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เหวอตั้งแต่ต้นเกมในขณะที่ ราฟาเอล วาราน กองหลังระดับโลกเจอรุม 2 ก่อนถูกฉกต่อหน้าต่อตาและกลายเป็นประตูสุดสวยของ อัลลัน แซงต์-มักซิแม็ง ในที่สุด
สกอร์ตามหลังไม่เท่าไหร่แต่ แมนฯยูฯ ต้องพบว่าวันนี้งานหนักกว่าปกติเป็น 2 เท่าเพราะอย่างที่ผมบอกไปข้างต้นว่านี่คือเป็นเกมที่ดีที่สุดของ “สาลิกา” ที่มีทุกอย่างเท่าที่ผู้จัดการทีมจะขอได้
เมื่อนักเตะเล่น “มันสะแด่ว” ขนาดนี้ทำให้ “ทูนอาร์มี่” เชียร์บอลได้มันที่สุดในรอบหลายปี เสียงปรบมือและเสียงเฮกระหึ่มแทบทุกๆนาที ทั้งหมดทั้งมวลมาจาก commitment ของผู้เล่นล้วนๆ
จุดสังเกตในครึ่งหลัง ราล์ฟ ริงนิค เห็นสภาพแล้วไม่ไหวรีบแก้เกมทันที เปลี่ยน เอา เฟร็ด กับ เมสัน กรีนวู้ด ออกแล้วส่ง เจดอน ซานโช่ เพื่อมาเปิดบอลให้ เอดินสัน คาวานี่
ครึ่งแรกทีมเยือนก็พยายามเปิดบอลจากปีกขวาอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่เข้าเป้าและไม่มีพวก “จมูกไว” โยนไปก็เสียเปล่า
ประตูตีเสมอในนาที 71 ก็มาจากการเปิดทางริมเส้นของ ดิโอโก้ ดาโลท์ และจังหวะบอลทำให้ คาวานี่ ได้ยิงซ้ำ 2 หนท่ามกลางผู้เล่นเจ้าถิ่น 3 คน เป็นความผิดพลาดเดียวที่จะหาได้จากเกมนี้ของฝั่ง นิวคาสเซิ่ล
โอกาสที่ใกล้เคียงให้แฟนได้เสียวๆอีก 2 ครั้งมาจาก คาวานี่ ทั้งหมด (นาที 55 และ 75)นอกนั้นแทบหาจังหวะจะๆของ “ปีศาจแดง” แทบไม่ได้เลย
แกรี่ เนวิลล์ ลูกหม้อและกูรูได้พูดถึงระบบ 4-2-2-2 ของ รังนิค เอาไว้ตั้งแต่ก่อนคิกออฟว่าไม่เหมาะกับสภาพขุมกำลัง ณ ปัจจุบัน อย่างแรง
อดีตแบ็คที่ตอนนี้อายุ 46 ปีชี้ว่าระบบนี้เป็นการใช้งานแบ็ค 2 ข้าง “โหลดเกินไป” เพราะการดันทุรังให้เติมเกมรุกแต่ตัว cover “กาก” เป็นจุดอันตรายที่ไม่มีความสมดุล
ถ้าเปลี่ยนจาก นอริช เป็นทีมที่มีคุณภาพมากกว่านี้ ยูไนเต็ด อาจไม่ได้กลับออกมาด้วยชัยชนะ 1-0 แน่ๆ (อันนี้ เนวิลล์ พูดไว้นะครับ)
เนวิลล์ เชื่อว่าระบบนี้จะ “พอถูไถ” เมื่อเจอกับทีมเล็กๆค่อนไปกลางๆแต่เจอทีมแข็งขึ้นมาอีกนิดไม่น่ารอด
จริงๆผมมองว่าระบบ 4-2-3-1 เดิมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ธรรมชาติที่สุดแล้วสำหรับ “ปีศาจแดง” เพราะเป็นการดึงเอาศักยภาพของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ มาได้มากที่สุด
แต่ รังนิค อาจต้องแจกแจง role ของแต่ละตำแหน่งให้ชัดเจนมากกว่ายุคของ “เฮียยิ้ม”
สำหรับ “สาลิกา” ผ่านช่วงเวลา “ฟ้ากลั่นแกล้ง” ซักทีหลังเจอทั้ง เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล และ แมนนซิตี้ ติดต่อกันแบบไม่มีพักจนแพ้รวดทั้ง 3 นัดโดนยิงรวม 11 ลูก (ก่อนได้ผีแดงช่วยเบรกสถิติที่ว่านี้)
โปรแกรม 3-4 นัดต่อไป (เอฟเวอร์ตัน, เซาธ์แฮมป์ตัน, วัตฟอร์ด และ ลีดส์) หากเล่นได้เหมือนที่เจอ ยูไนเต็ด ขี้หมูขี้หมาต้องชนะบ้างอยู่แล้ว
แต่ปัญหาคือนักเตะหรือสต๊าฟจะสร้างแรงจูงใจจนวิ่งลืมตายให้ตัวเองอย่างไรในเมื่อทีมที่เจอไม่ได้ใหญ่ขนาด แมนฯยูฯ เป็นประเด็นที่น่าสนใจเอามากๆ
เพราะ “สาลิกา” ยังโชคดีตรงที่ว่าซีซั่นนี้ทีมที่อยู่ข้างบนโซนอันตรายผลงานห่วยพอๆกันจนไม่ได้ทำแต้มทิ้งหนีไปไหนเลย
เบิร์นลีย์ (อันดับ 18 มี 11 แต้ม), วัตฟอร์ด (17 มี 13 แต้ม) แค่ชนะ 1-2 เกมลูกทีมของ เอ็ดดี้ ฮาว หลุดจากโซนสีแดงได้เลยนะครับ
จุดเดียวที่เสียเปรียบคือ นิวคาสเซิ่ล ใช้โควต้าลงเล่นเต็ม max 19 เกมไม่มีเลื่อนซึ่งเตะมากกว่า เบิร์นลีย์ ถึง 4 และ วัตฟอร์ด อีก 3
สุดท้ายคงต้องรอ “จุดเปลี่ยน” ที่แฟนบอลนับวันรอคอยกันมานานแล้วนั่นคือการเสริมทัพในตลาดหน้าหนาว หวังพึ่ง แม็กซิแมง คนเดียวตายแน่ๆครับ สภาพแกเปื่อยเต็มทน พันผ้าแทบจะทั่วตัวแถมเจ็บถูกเปลี่ยนตัวออกอีกต่างหาก
การทำได้แค่เสมอกับ นิวคาสเซิ่ล ทำให้ ยูไนเต็ด ยังอยู่ที่ 7 และเส้นทางขยับเข้าใกล้ top 4 ดูเหนื่อยขึ้นมาอีกพอสมควรเพราะ อาร์เซนอล และ สเปอร์ส กำลังเครื่องร้อนโกยแต้มหนีไปเรื่อยๆแล้ว
แต่เหนือสิ่งอื่นใดตอนนี้ รังนิค คงต้องเพิ่มโปรแกรมซ้อมจ่ายบอลภายในทีมให้หนักกว่านี้ก่อนเลยครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
เอดิสัน คาวานี่ ยิง 6 ประตูจากการลงสนาม 17 เกมใน พรีเมียร์ลีก ให้ แมนฯยูไนเต็ด ในฐานะตัวสำรอง มีเพียงแค่ 4 นักเตะที่ทำได้มากกว่าเขาคือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (17), ชิชาริโต้ (14), มาร์คัส แรชฟอร์ด (9) และ อันโธนีย์ มาร์ซิยาล (8)
“ปีศาจแดง” ยิงใส่ นิวคาสเซิ่ล ใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 113 ประตู กลายเป็นทีมที่ยิงฝั่งตรงข้ามมากกว่าทุกทีมในรายการนี้ไปแล้ว
นิวคาสเซิ่ล เป็นทีมที่ขึ้นนำคู่แข่งแล้วทำแต้มหล่นเรี่ยราดมากที่สุดเหนือทีมอื่นๆในซีซั่นนี้ (19 ครั้ง) พูดให้เห็นภาพชัดๆคือ “สาลิกา” ชนะแค่ 1 จาก 9 เกมในลีกหลังยิงนำคู่แข่งไปก่อน (เสมอ 5 แพ้ 3)
นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมในฤดูกาล 2019-20 อัลลัน แซงต์-มักซิแม็ง เป็นนักเตะ นิวคาสเซิ่ล คนเดียวที่่ทำประตูและแอสซิสต์ด้วยจำนวนตัวเลข 2 หลัก (10 ประตูกับ 11 แอสซิสต์)
โชเอลินตอน โดดเด่นสุดๆหลังสร้างสรรคโอกาส 3 ครั้ง, ตัดบอล (4) แย่งบอลกลับมา (11), เก็บบอล (13) หนและแท็คเกิ้ล (4)
“สาลิกา” เสียไปแล้ว 80 ประตูนับตั้งแต่ขึ้นปี 2021 และทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่เสียประตูมากที่สุดในปฏิทินเดียวโดยทีมสุดท้ายบนลีกสูงสุดที่โดนยิงในปีปฏิทินเดียวคือ เวสต์บรอม ในปี 1985 โดนไป 87 ลูก
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ เกม เร ด
|