บรรยากาศอันน่าขนลุกที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ของทีมที่รวยที่สุดในโลกภายใต้ธีม New Era หรือยุคเจ้าของใหม่กลับมีช่วงเวลา Poppy love สั้นๆเพียงแค่ 16 นาที
การขึ้นนำสายฟ้าแล่บของ นิวคาสเซิ่ล จากการบุกหนแรกตั้งแต่ยังไม่ถึง 1 นาทีและการวิ่งลืมตายส่วนหนึ่งมาจากแรงกระตุ้นรับเจ้าของใหม่ที่เข้ามานั่งชมเกมนี้
แต่ ณ เวลานี้ สิ่งที่ “ทูน อาร์มี่” หนีไม่พ้นมี 3 อย่างคือ ความตาย, ภาษี และ เสียประตู (เกมรับแย่สุดในลีก)
เมื่อความห้าวลดระดับลงตามเข็มนาฬิกาและมาสังเวยเสีย 2 ประตูใน 5 นาทีเหมือนไม่มีกองหลัง นิวคาสเซิ่ล ถูกดึงกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงหรือที่ เดลี่ เมล์ ใช้คำว่า brought back down to earth
เสียงระฆังช่วยชีวิตเมื่อแฟนบอลเจ้าถิ่นหมดสติจนต้องหยุดเกมเพื่อปฐมพยาบาล (ในนาที 40) และต้องปรบมือให้ เซร์คิโอ เรกีล่อน และ เอริก ไดเออร์ ที่คิดไวทำไวแจ้งผู้ตัดสิน อันเดร มาร์ริเนอร์
ท้ายที่สุด พอล แคตเตอร์สัน แพทย์ประจำทีม ”สาลิกา” วิ่งข้ามฝั่งไปช่วย CPR ก่อนรู้สึกตัวและถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย
ความมีน้ำใจจากฝั่ง “คลับไก่” มีให้แค่นั้นเพราะเมื่อกลับมาลงเล่นต่อ แข้ง “สาลิกา” ที่วันนี้ชัดเจนว่ามีปัญหากับการตามตัวและหยุดยั้งเมื่อดวล 1-1 หรือจะ 2 รุม 1
เป็นที่มาของการโชว์ทักษะของ มูร่า ก่อนไปจบที่ ซน tap in จากการแอสซิสต์สวยๆของ แฮร์รี่ เคน
เมื่อกัปตันทีมชาติ อังกฤษ ยุติการรอคอยปลดล็อกประตูแรกในซีซั่นนี้กับฟอร์มที่ดูเหมือน “กลับเข้าฝั่ง” ทุกอย่างเป็นใจให้ยอดทีมจากลอนดอนในเกมนี้อย่างสบายๆ (แม้จะเสีย OG. ท้ายเกม)
จอนโจ้ เชลวีย์ ที่ถูกส่งลงมาให้เปลี่ยนเกมในนาที 60 แต่ความรับผิดชอบและวินัยไม่มีเลย โดนเหลืองนาที 79 และอีก 5 นาทีต่อมาโดนเหลือง 2 ไล่ออกซะงั้น
นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ พาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถลุกนั่งสบายขึ้นหลังชนะ 2 นัดติดขยับมาอยู่ที่ 5
แต่ที่กำลังนับถอยหลังและน่าจะรู้เรื่องคือ สตีฟ บรูซ ที่แฟน นิวคาสเซิ่ล มองว่าเป็น “เนื้อร้าย” ที่ควรตัดทิ้งโดยไวด้วยคะแนนเสียงโหวตออนไลน์ขับไล่ท่วมท้น 94%
แฟนบอลพร้อมใจกันส่งเสียงขับไล่ “บรูซซี่” ก่อนหมดเวลา 16 นาที รวมถึงการแขวะเจ็บๆ “พรุ่งนี้เช้ารอฟังข่าวดี”
เทคโอเวอร์ 305 ล้านปอนด์ เจ้าของมีเงิน 3.2 แสนล้านปอนด์ การจ่ายค่าชดเชยเป็นแค่เศษขี้ตีนของ PIF (ตามข่าวอยู่ที่ 8 ล้านปอนด์)
สิ่งที่ควรทำตอนนี้เลยคือต้องมีผู้จัดการทีมเขี้ยวๆเอามา “รีด” ศักยภาพขุมกำลังชุดนี้ด้วยแท็คติกส์ก่อนครับ แนวรุกผมว่าพอฝากฝังได้แต่ต้องจัดระเบียบแนวรับกันใหม่และจัดหน้าที่ให้แดนกลาง “ขยัน” กว่านี้
บรูซ ในวัย 60 ปีกับถนนกุนซือ 23 ปี (ที่แพ้มากกว่าชนะ) ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “คนตกยุค” ที่ตามไม่ทันบอลสมัยใหม่แล้ว การได้อยู่คุมทีมนัดที่ 1,000 เมื่อวันอาทิตย์ก็ถือว่าได้รับเกียรติมากพอแล้ว
ลืมการสร้างทีม “ต่างดาวแห่งผู้ดี” และปาร์ตี้ริมสระไปให้หมดก่อน การรั้งรองบ๊วย เตะ 8 นัดยังไม่ชนะใครมีแค่ 3 แต้มเป็นภัยเงียที่อันตรายหากยังไม่รีบตัดสินใจโดยไว
ผมแอบไล่ดูโปรแกรมของ “สาลิกา” เสร็จรู้สึกอยากเข้านอนเลยครับ เชลซี, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล, แมนฯซิตี้, แมนฯยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน โดยเฉพาะ 4 นัดหลังสุดนี่ติดๆกันในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ว่ากันว่าโหดสัส
ปัญหาเล็กๆแต่มองอีกมุมใหญ่ใช้ได้ คือแม้เจ้าของสโมสรมีเงินให้ช้อปไม่อั้นแต่ตลาดซื้อขายต้องรออีก 2 เดือน
เมื่อพิจารณาจากอันดับและสภาพสโมสรที่ยังอยู่ในสถานะแค่ “คนรวย” จะมีผู้จัดการทีมคนไหนกล้าเสี่ยงรับเผือกร้อนเโดยที่มีพันธสัญญาและภาระกิจกับต้นสังกัด
คนที่ว่างงานจึงเป็นเป้าหมายหลักที่ดูง่ายกว่าจึงไม่ต้องสืบเลยที่บ่อนยกให้เต็ง 1 และ 2 เป็น แฟร็งค์ แลมพาร์ด (4-1) และ ลูเซียน ฟาฟร์ (8-1)
ดีเสียคนละอย่าง แลมพ์ ไม่เก่งแท็คติกส์/มือใหม่แต่พูดจาภาษาเดียวกันอาจจำเป็นในสถานการณ์ที่ต้องปลุกเร้า
ส่วน ฟาฟร์ ในวัย 63 ปีแม้ถูก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ปลดเมื่อปีก่อนแต่ชั่วโมงบิน 27 ปีกินขาด ปัญหาคือภาษาไม่ได้ ใช้ล่ามไม่ “อิน” เท่า
ทีนี้อยู่ที่ว่าทีมงานบริหาร “สาลิกา” มีสเปคและรสนิยมแบบไหน แต่ที่แน่ๆจะเป็นใคร ยังไงดีกว่า บรูซ แน่นอนครับ...
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ fifa55
|