[x] ปิดหน้าต่างนี้
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป   
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
เมนูหลัก
ติดต่อสอบถาม
blog สมาชิก
สถิติผู้เขียน blog 10 อันดับ
wave
[ มือใหม่ ]
2
admin
[ มือใหม่ ]
2
orean
[ มือใหม่ ]
2
KAT
[ มือใหม่ ]
1
yuy
[ มือใหม่ ]
1
aTon
[ มือใหม่ ]
1
fang
[ มือใหม่ ]
1
film
[ มือใหม่ ]
1
mild
[ มือใหม่ ]
1
Donus
[ มือใหม่ ]
1
บทความ blog ล่าสุดโดย
เพลงคริสต์มาสtortae
การดูแลรักษาสุภาพ ให้แข็งแรงaTon
ประเพณีวันเข้าพรรษาmild
พบจุดที่หนาวที่สุดในโลกเเห่งใหม่ !!orean
พบจุดที่หนาวที่สุดในโลกเเห่งใหม่ !!orean
อาเซียนDonus
การวาดภาพสีนำ้lovepop-123456
อาเซียนmikekung02
ลดความอ้วนสูตรนางเอก 5 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์yuy
ปรากฏการณ์ธรรมชาติMin-Mintra
ไลน์ โรงเรียนศรัทธาฯ

ติดต่อ สอบถาม

poll

   คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


  1. ดีมาก
  2. ดี
  3. ปานกลาง
  4. แย่
  5. แย่มาก

  

   เว็บบอร์ด >> >>
“ผี” อาการหนักแพ้คาบ้าน (อีกแล้ว)  VIEW : 329    
โดย วว

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 605
ตอบแล้ว : 1
เพศ :
ระดับ : 19
Exp : 97%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 217.138.201.xxx

 
เมื่อ : จันทร์ ที่ 27 เดือน กันยายน พ.ศ.2564 เวลา 15:59:58   

บิ๊กแมทช์คู่ เชลซี และ แมนซิตี้ พอจะสรุปได้ว่าทั้งคู่งัด “จุดขาย” ของตัวเองออกมาสู้กันตั้งแต่วินาทีแรก

จากการที่ โธมัส ทูเคิ่ล และ เป๊ป กวาดิโอล่า เจอกันมา 3 และเป็นชัยชนะของ “สิงห์บลู” 3 นัดรวดทำให้ทั้งคู่รู้เหลี่ยมว่าใครจะมาแบบไหน

เพียงแต่ ทูเคิ่ล ออกแนวเกรงกลัว ซิตี้ มากผิดวิสัย (ทั้งๆที่เล่นในบ้าน) หลังเปลี่ยนจากระบบปกติ 3-4-3 มาเป็น 3-5-2 เนื่องจากผมมองว่าระบบแรกก็อยู่ในวิสัยที่เพลย์เซฟ (แถมคุ้นเคยกว่า)

ผลที่ออกมากลายเป็นทีมเยือนไล่เพรสกดอยู่ฝ่ายเดียวตลอดทั้งครึ่งแรก คิดเป็น % แบบแมนวลน่าจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 90 นู่นเลย

ยิ่ง line defense ของ เชลซี เปลี่ยนมารับลึก (ภาษาบ้านๆคือจอดรถบัส) ไม่ไปเพรส ซิตี้ ด้านบนเหมือนที่เคยเจอกันมาจึงเท่ากับเป็นการเชื้อเชิญให้บอลวนเวียนอยู่หน้าเขตโทษตัวเองเนื่องจากเด็กๆ เป๊ป เพรสหนักมาก ไม่ได้บอลเกมไม่หยุดไม่มีทางเลิก

เมื่อถึงจังหวะแข้ง “สิงห์บลู” เป็นฝ่ายครอบครองบอลแต่ด้วยความที่ตัวเองอยู่ในพื้นที่หวงห้าม (และมีเวลากับบอลไม่ถึง 2 วินาที) จึงจำเป็นต้องเลือกปล่อยบอลทิ้ง (แม้เพื่อนจะยังไม่พร้อม)

ส่วน ติโม แวร์เนอร์ และ โรเมลู ลูกากู 2 ตัวที่ถูกวางให้ “รอสวน” ถูก “ดูด” ไปอยู่ในตำแหน่งลึกที่ไม่ใช่พื้นที่ของตัวเอง (ตามไลน์เซนเตอร์ของเรือใบ) หมดสิทธิ์ที่จะทำอะไรเพราะถูกรุมกินโต๊ะถูกคุมเอาไว้หมด

การเล่นแบบนี้ยากมากครับสำหรับการรอสวน คุณจะไปยืนอยู่ในพื้นที่กว้างด้านข้างโล่งๆก็ไมได้เพราะเพื่อนคุณมองไม่เห็นท่ามกลางวงล้อมของนักเตะ ซิตี้ ไม่มีใครมีเวลามองหาคุณแน่นอน

อย่างไรก็ตามหากไม่นับจังหวะที่ เชซุส พักอกแล้วได้โอกาสยิงเหน่งๆแต่ดันปลิ้นเฉี่ยวเสาแล้ว ผมมองว่าครึ่งแรก “ซิตี้” ยังเน้นการตบบอลจากเส้นหลังหรือเปิดบอลจากด้านข้าง

เด็กๆของ เป๊ป จึง “สวย” แค่การ “ขัง” ผู้เล่น เชลซี ให้อยู่ในพื้นที่ final area แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความเหนือกว่าตรงนั้นให้เป็นประตูได้

อย่างไรก็ตามนั่นเป็น “บทสรุป” แค่ 45 นาทีแรกแต่ความได้เปรียบเสียเปรียบของเกมนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่มีใครคาดคิดเพียงแค่ 8 นาทีของครึ่งหลัง

ประตูแรกและประตูเดียวของเกมนี้มาจากถูไถของ กาเบรียล เชซุส ที่น่าจะออกแนว “ช็อตดื้อ” หลังมีผู้เล่น เชลซี ยืนขวางถึง 3-4 ตัวแต่กลายเป็นลูกแฉลบ

ความพยายามของ ซิตี้ ถือว่า “ช้า” และไม่ออกผลในครึ่งแรกแต่มา “เร็ว” ในครึ่งหลัง

การเปลี่ยนตัวแบบไม่คิดมากของ ทูเคิ่ล ด้วยการส่ง ไค ฮาแวร์ตซ์ แทน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ในช่วง “โมเมนตั้ม” ที่ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของทีมเยือนหมดแล้วจึงเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับนักเตะคนเดียวจะมาเปลี่ยนโฉมทั้งเกม

ครึ่งหลังทันทีที่สกอร์ขยับเป็น 1-0 ธรรมชาติของคนตามหลังเปลี่ยนมาบุกและนั่นทำให้แนวรับของฝั่ง ซิตี้ เข้ามามีบทบาทในการหยุด ลูกากู หัวใจสำคัญของการขึ้นเกม

ครับ วันนี้ต้องยอมรับกันว่า ทูเคิ่ล วางหมากผิดและคิดเยอะเกินไปทำให้รูปแบบการเล่นไม่เป็นธรรมชาติและถ้าไม่มีลูกแฉลบของ เชซุส อาจจะรอดตัวจากผลเสมอ

เป็นบทเรียนสำคัญของ ทูเคิ่ล ที่ผมเชื่อว่าสุดท้ายวันนี้ก็แค่เล่นไม่เป็นตัวของตัวเองและระบบ 3-4-3 ลงตัวกับขุมกำลัง ณ ตอนนี้ที่สุดแล้วครับ

สำหรับ ซิตี้ ของ “เป๊ป” เจอฝั่งตรงข้ามรับลึกแบบนี้แทบทุกสัปดาห์แต่วันนี้อาจจะแอบเซอร์ไพรซ์เล็กน้อยที่ เชลซี ซึ่งเล่นในบ้านเลือกเล่นแนวนี้

3 แต้มที่ตัดกันเองทำให้ ซิตี้ แซงหน้า เชลซี ขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงพร้อมส่งสัญญาณให้ทุกคนหันมามอง “แชมป์เก่า” กันบ้างหลังพูดถึงแต่การมาของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้, โรเมลู ลูกากู กันมาเกือบทั้งเดือน

ผมเสียดายที่คู่สำคัญมาเตะช่วงเวลา 18.30 น. พร้อมกัน จึงต้องเปลี่ยนรีโมทไปมา คือบังเอิญผมเป็นคนไม่ชอบดูบอลผ่านพวกคอมหรือมือถือซักเท่าไหร่

ทุกครั้งที่เปลี่ยนมาดูเกมที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด ผมแอบตกใจที่สกอร์ค้างอยู่ที่ 0-0 อยู่นานถึง 88 นาที!!

รูปเกมคือทั้ง 2 ทีมพร้อมได้และเสียประตูตลอดเวลาโดย แอสตัน วิลล่า เล่นแบบไม่มีกลัว ยิ่งมีผู้เล่นที่มีความเร็วจัดเกมสวนกลับแทบไม่เป็นรองใคร

ก่อนเกมผมมองว่าลูกทีของ ดีน สมิธ น่าจะไม่รอดเพราะ 2 นัดเวลาออกมาเยือนคู่แข่งค่อนข้างมีปัญหา

แพ้มา 2 นัดรวดและโดนยิงไป 6 โดยเท่าที่ผมสังเกตคือ วิลล่า ชุดนี้ขาด “ศูนย์กลาง” และคนคอย control จังหวะ คือทีมมีความห้าวพร้อมบวกแต่มันต้องมีช่วงผ่อนและดึงให้คู่แข่งเล่นตามเกมของเรา ไม่ใช่ไปตามเกมเขาอย่างเดียว

ลางร้ายของ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่นาที 34 เมื่อ ลุค ชอว์ เจ็บเล่นต่อไม่ไหว การเปิดบอลแม่นๆทางซ้ายหายไปทันที ก่อนที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ จะมีอันเป็นไปตามมาติดๆในครึ่งหลังนาที 67

เจ้าถิ่นน่าจะกลับเข้าห้องแต่งตัวแบบหล่อๆหลังช่วงท้ายครึ่งแรกภายใน 4 นาทีมีโอกาส 2 หนจากลูกโหม่งของทั้ง แม็คไกวร์ และ ป็อกบา

ด้วยเหตุนี้เองการที่สกอร์ยัง 0-0 ทำให้เกมเปิดจนแทบไม่อยากเปลี่ยนช่อง เพราะถ้า เชลซี จะตีเสมอหรือ ซิตี้ จะบวกลูก 2 มันก็ไม่น่าสนใจเท่ามีสกอร์ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด (โดยเฉพาะถ้ามาจากทีมเยือน)

ผมเสียดายจังหวะที่กำลังแลกลิ้นของทั้ง 2 ทีมแต่ เมสัน กรีนวู้ด เล่นตามประสาวัยรุ่นคือเห็นพื้นที่เยอะเลยหวงบอลจะยิงเองอย่างเดียว

เข้าใจว่าเป็นสไตล์ที่เล่นมาแบบนี้ตลอดแต่เกมนี้ความเป็นความตายมันล่อแหลมมาก เพราะอีกฝากนึงทีมตัวเองพวกแนวรับก็หน้าซีดเผือกอยากให้ยิงขึ้นนำซักที

ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็หนีไม่พ้นเมื่อ ยูไนเต็ด มาโดนลูกเตะมุมก่อนในนาที 88 (แม้จากภาพช้าจะมีการรบกวน เด เกอา ของผู้เล่น วิลล่า ที่ยืนล้ำหน้าด้วย)

แต่เหมือน โอเล่น กุนนาร์ โซลชา จะมากับดวงเมื่อดันมาได้จุดโทษในาทที 90+3 แต่คนที่มือฉมังพลาดหนเดียวใน 22 ครั้งอย่าง บรูโน่ กลับส่งลูกบอลข้ามคานไปพร้อมๆกับหัวของ โซลชา

น่าสงสัยว่ามีอะไรหรือเปล่าเพราะปกติแกจะยิงเล่นทางเนียนๆแต่วันนี้กดหลังเท้าหลุดไปไกลมาก

วันฮันนีมูนของ โซลชา กับ “ปีศาจแดง” หมดไวมากครับเพราะนับตั้งแต่เปิดตัว โรนัลโด้ ในเกมถล่ม นิวคาสเซิ่ล 4-1 เหมือนปัญหาเดิมๆเกิดขึ้นทุกนัดไม่มีอะไรใหม่

นี่เป็นความพ่ายแพ้นัดที่ 3 จาก 4 เกมหลังสุดในทุกรายการและแพ้คาบ้าน 2 นัดใน 3 วันเป็นอะไรที่แฟนผีต้องการคำตอบจาก “เฮียยิ้ม” มากกว่าทุกครั้ง

การแก้เกมของ โอเล่ ดูช้าเกินไปคล้ายคนความรู้สึกช้า 70 ปลายๆหรือต้น 80 ซึ่งเวลามันน้อยเกินไปและเป็นแบบนี้ทุกนัดจนแฟนรู้สึกว่า “ไร้กึ๋น” เหมือนสมองยังไม่ได้อัพ patch

ปัญหาของ ยูไนเต็ด น่าติดตามมากครับว่า “บอสยิ้ม” จะเอาตัวรอดยังไงนับจากนี้เพราะไล่ดูโปรแกรมแล้วมีแต่หนักๆในทุกรายการยาวไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนู่นเลย

ไล่ตั้งแต่ บีญาร์เรอัล (เหย้า), เอฟเวอร์ตัน (เหย้า), เลสเตอร์ (เยือน), อตาลันต้า (เหย้า), ลิเวอร์พูล (เหย้า), สเปอร์ส (เยือน), อตาลันต้า (เยือน) และ แมนฯซิตี้ (เหย้า)

แต่เท่าที่ผมดู “เฮียยิ้ม” เมื่อถึงเวลาหลังพิงฝาแกมักเอาตัวรอดได้เสมอ เป็นแบบนี้มาตลอดจนได้สัญญาใหม่

ยังไงแกก็เป็นตำนานแถมดูผิวเผินนิสัยดี ไม่ถือตัว ผมพร้อมเอาใจช่วยนะ อย่างน้อยก็อยู่จนครบสัญญา 2024…

สถิติ สถิติ สถิติ

บรูโน่ แฟร์นานเดซ พลาดจุดโทษเป็นหนที่ 2 ใน 23 ครั้งในทุกรายการให้ แมนฯยูไนเต็ดและนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 (ในเกมที่พบกับ นิวคาสเซิ่ล)

“ปีศาจแดง” ยิงกระหน่ำ 28 ครั้งแต่ไร้สกอร์โดยหนสุดท้ายที่ใช้โอกาสเปลืองขนาดนี้ต้องย้อนกลับไปเดือนตุลาคม 2016 ในเกมที่พบ เบิร์นลีย์ หนนั้นรัวถึง 38 ครั้งจบลงด้วยผลเสมอ 0-0

แอสตัน วิลล่า ชนะ ยูไนเต็ด เป็นครั้งแรกใรอบ 18 เกมพรีเมียร์ลีกหลังทำได้หนสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2009 ด้วยชัยชนะ 1-0

แมนฯซิตี้ เสียแค่ประตูเดียวใน 6 เกมพรีเมียร์ลีกซีซัน่นนี้ ถือว่าน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียว

แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ควงแขนแพ้คาบ้านพร้อมกันในลีกเป็นคนแรกนับตั้งแต่ปีใหม่ 2011

เป๊ป กวาดิโอล่า กวาดชัยนัดที่ 221 ในทุกรายการให้ “เรือใบ” ถือเป็นสถิติใหม่สำหรับผู้จัดการทีมที่ชนะมากที่สุด นำหน้าเหนือ เลส แม็คโดวอลล์ (220) ไปเรียบร้อย

กาเบรียล เชซุส ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกลูกที่ 52 ให้ตัวเองโดย ซิตี้ ไม่แพ้ใครเลยเมื่อเขายิงให้ทีมได้ (เตะ 43 นัดชนะ 41 เสมอ 2)

เชซุส เงียบๆแต่มาแรงเพราะนี่เป็นประตูที่ 7 ที่เขามีส่วนร่วมโดยตรงกับทีมตลอดการลงเล่นเป็นตัวจริง 7 เกมให้ ซิตี้ (ยิง 3 จ่าย 4)

 

สนับสนุนโดยเว็บไซต์ เว็บพนันบอลที่ดีที่สุด